จากศูนย์สู่มืออาชีพ: เคล็ดลับเปลี่ยนสายงานเป็นโปรแกรมเมอร์

ในโลกที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญ สายงานไอทีเป็นสายงานที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอาชีพ Programmer หนึ่งในอาชีพที่มาแรงในยุคนี้ ที่หลายคนสนใจและต้องการเปลี่ยนสายงานเป็น โปรแกรมเมอร์ แน่นอนว่าการย้ายสายงานมาเป็นโปรแกรมเมอร์เป็นเรื่องที่ท้าย น่าตื่นเต้น และต้องใช้ความมุ่งมั่น อดทน และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะ Programmer และเปิดประตูสู่โอกาสการทำงานสายไอที โดยบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักสิ่งที่ต้องรู้หรือขั้นตอนสำคัญในการเตรียมตัวเปลี่ยนสายงานให้ประสบความสำเร็จ และรวดเร็วขึ้น 70% ถ้าอยากรู้แล้วว่ามีอะไรบ้าง มาดูกันเลย
อยากเป็น Programmer ต้องเริ่มจากอะไร
ไม่ว่าจะมีพื้นฐานทางโปรแกรมเมอร์หรือไม่ก็ตาม เราต้องรู้ว่าหากเราต้องการเปลี่ยนสายงานมาเป็นโปรแกรมเมอร์นั้น ทักษะที่จำเป็นของโปรแกรมเมอร์มี 3 ด้านหลัก ๆ ที่ต้องพัฒนา ได้แก่ ด้าน Programming Skill, Soft Skill และ Working Skill ซึ่งแต่ละด้านมีความสำคัญและจำเป็นต่อการทำงานจริง
ด้าน Programming Skill
- ทักษะการเขียนโปรแกรม (Coding Skill)
- ภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรม (Programming Languages)
- การออกแบบและวิเคราะห์อัลกอริทึม (Algorithm Design and Analysis)
- การจัดการฐานข้อมูล (Database Management)
- การทดสอบและดีบัก (Testing and Debugging)
- ความรู้และการใช้ API (API Knowledge and Usage)
- ความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ (Software Security)
ด้าน Soft Skill
- การเผชิญและรับมือกับปัญหา (AQ)
- การจัดการอารมณ์ (EQ)
- การคิดเชิงตรรกะ (Logical)
- ความเข้าใจวัตถุประสงค์ (Objective Comprehension)
- การสะท้อนความเข้าใจ (Self-Reflection)
- การรับรู้ปัญหา (Problem Identify)
- การแก้ไขปัญหา (Problem Solving)
- การสื่อสาร (Communication)
- การนำเสนอ (Presentation)
ด้าน Working Skill
- ทักษะการทำงานแบบทีม ด้วย GIT
- ทักษะการทำงานร่วมกันและบริหาร Source Control ผ่าน GIT
- ทักษะการทำงานกับทีมแบบ Agile Framework
- ทักษะการทำงานกับทีมแบบ Sprint
การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยให้เป็นโปรแกรมเมอร์ที่มีความสามารถและพร้อมสำหรับการทำงานในทุกสถานการณ์ที่ต้องเผชิญในการทำงานจริงได้
เลือกรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อพัฒนาทักษะ
การพัฒนาทักษะเป็นกระบวนการที่ต้องการความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง หากเราเลือกใช้รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง มีทิศทาง ขั้นตอนชัดเจน และสามารถวัดผลหรือเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลง ก็จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนสายงานเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ เช่น
1. การเรียนรู้แบบ Progressive Learning
คือ วิธีการพัฒนาทักษะแบบค่อยๆ เพิ่มระดับความยาก เหมือนการเลเวลอัพ ในเกม เริ่มต้นง่ายๆ
- ทำความเข้าใจพื้นฐาน: ศึกษากรอบความรู้พื้นฐาน เปรียบเสมือนการวางรากฐานให้มั่นคง
- ฝึกฝนเบื้องต้น: ลงมือทำ ฝึกฝนทักษะพื้นฐาน เสริมสร้างความคุ้นเคย
- เพิ่มระดับ: เมื่อเริ่มมั่นใจ ลองท้าทายตัวเอง ฝึกฝนทักษะที่ยากขึ้น
- ฝึกฝนต่อเนื่อง: หมั่นฝึกฝนทักษะอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเสมือนการรดน้ำพรวนดินให้ต้นไม้เติบโต
2. การเรียนรู้แบบ Mastery Learning
การเรียนรู้แบบ Mastery Learning เน้นการทำความเข้าใจและเชี่ยวชาญในแต่ละขั้นตอนของการเรียนรู้ก่อนที่จะก้าวไปขั้นตอนถัดไป
- การเรียนรู้เชิงลึก: เน้นการทำความเข้าใจแนวคิดและทักษะอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะก้าวไปขั้นตอนถัดไป เช่น การเข้าใจโครงสร้างข้อมูลและอัลกอริทึมให้ดีก่อนที่จะเรียนรู้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ซับซ้อน
- การทบทวนและประเมินผล: ทบทวนความรู้และทักษะที่ได้เรียนรู้เป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าได้เชี่ยวชาญในสิ่งที่เรียนแล้ว
- การปรับปรุงต่อเนื่อง: พยายามปรับปรุงทักษะและความรู้อย่างต่อเนื่อง โดยการแก้ไขข้อผิดพลาดและเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด
การเรียนรู้แบบ Progressive Mastery Learning
เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Progressive Learning และ Mastery Learning ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทักษะแบบค่อยเป็นค่อยไป เน้นการทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนของการเรียนรู้ ซึ่งแต่ละขั้นตอนก็จะมีการเพิ่มระดับความยากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่จะก้าวไปขั้นตอนถัดไป รวมถึงจะมีการกระตุ้นให้ลองทำ ลองปฎิบัติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะจากขั้นพื้นฐาน สู่ความเชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน โดยการใช้เทคนิค Learn – Do – Coach ไป
- เรียนรู้ (Learn): ศึกษาข้อมูล ทฤษฎี และแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่ต้องการจะพัฒนา โดยเริ่มต้นจากพื้นฐาน ไปจนถึงการทำความเข้าใจแบบเชิงลึก
- ลงมือทำ (Do): ฝึกฝนทักษะที่เรียนรู้มาอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นจากสิ่งง่าย ๆ และค่อยเพิ่มระดับความยากขึ้น เน้นการลงมือทำซ้ำเพื่อพัฒนาทักษะให้เกิดความเชี่ยวชาญ เพื่อเป็นการทบทวนความรู้และทักษะที่ได้เรียนรู้เป็นประจำ รวมถึงเน้นจดบันทึกความคืบหน้าและข้อผิดพลาดเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ รวมถึงให้แน่ใจว่าได้เชี่ยวชาญในสิ่งที่เรียนแล้ว
- รับคำแนะนำ (Coach): ขอคำแนะนำและข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีประสบการณ์ เพื่อประเมินผลการฝึกฝนทักษะและระบุจุดแข็งจุดอ่อน เพื่อใช้ในการปรับปรุงทักษะและความรู้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตั้งเป้าหมายใหม่และวางแผนการพัฒนาต่อไปให้เหมาะสมกับความต้องการและจุดอ่อนของเรา
เลือกแนวทางการพัฒนาทักษะที่เหมาะกับตัวเอง
ปัจจุบันการพัฒนาทักษะ เพื่อเปลี่ยนสายงานเป็นโปรแกรมเมอร์ มีแนวทางการพัฒนาให้เลือกมากมาย ขึ้นอยู่กับสไตล์การเรียนรู้ และความต้องการของแต่ละบุคคล
1. พัฒนาด้วยตัวเอง (Self- Learning)
เป็นการเรียนรู้และฝึกฝนด้วยตัวเอง ซึ่งแนวทางการพัฒนาทักษะนี้ ต้องมีเป้าหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถวางแผนได้เหมาะกับเวลาที่มีในแต่ละวัน โดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น
- การอ่านหนังสือ หรือบทความ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับทักษะที่ต้องการพัฒนา
- การดูวิดีโอการสอนจากแหล่งข้อมูลการเรียนรู้ออนไลน์ เช่น Youtube
- การฝึกฝน จากการลองทำโปรเจกต์เล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่ต้องการพัฒนาด้วยตัวเอง
2. ลงเรียน (Training)
เป็นการเรียนรู้และฝึกฝนโดยการลงเรียนในหลักสูตรหรือคอร์สที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่ต้องการพัฒนา ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นวิธีที่มีโครงสร้างและการเรียนรู้ที่เป็นระบบ เช่น
- เรียนผ่านคอร์สออนไลน์ ที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่ต้องการพัฒนา
- เรียนผ่านคอร์สในสถานศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา หรือหลักสูตรการฝึกอบรมระยะสั้น
- เรียนผ่านการเข้าร่วม Bootcamp ที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพ Programmer
3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (Consulting Experts and Mentors)
เป็นการเรียนรู้จากการปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อมาเป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะ เช่น
- หาที่ปรึกษา (Mentor) ที่มีประสบการณ์และความรู้ในทักษะที่คุณต้องการพัฒนา
- การเข้าร่วมชุมชนออนไลน์: เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่สนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์
- การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในโปรเจกต์จริง ๆ เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน
- การเข้ารับการ Coaching จากโค้ชมืออาชีพที่เชี่ยวชาญในด้านที่ต้องการพัฒนา เพื่อให้สามารถช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายและสร้างแผนการพัฒนาที่ชัดเจน
ซึ่งการพัฒนาทักษะเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม เน้นการผสมผสานวิธีการต่าง ๆ ข้างต้น เช่น การพัฒนาด้วยตัวเอง การลงเรียน และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้สามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
เข้าใจทักษะเริ่มต้นที่ตัวเองมี
การเข้าใจทักษะเริ่มต้น ที่เรามีเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาทักษะและเตรียมตัวสำหรับการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนสายงาน
การเข้าใจทักษะตัวเอง คือ การรับรู้จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจำกัดของตนเอง สิ่งนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้:
1. กำหนดเป้าหมายที่สมจริง:
เมื่อคุณเข้าใจทักษะของคุณแล้ว คุณสามารถกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่สมจริงและท้าทาย เป้าหมายที่สมจริงจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย
2. พัฒนากลยุทธ์การเรียนรู้:
เมื่อคุณรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของคุณแล้ว คุณสามารถพัฒนากลยุทธ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับคุณ กลยุทธ์นี้ควรเน้นไปที่การพัฒนาทักษะที่คุณต้องการ และเสริมสร้างจุดแข็งของคุณ
3. เลือกเครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่เหมาะสม:
มีเครื่องมือและแหล่งข้อมูลมากมายสำหรับการพัฒนาทักษะ การเข้าใจทักษะของคุณจะช่วยให้คุณเลือกเครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
4. ติดตามความคืบหน้า:
การติดตามความคืบหน้าของคุณจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและวัดผลความสำเร็จของคุณได้ และสิ่งนี้ยังสามารถช่วยให้คุณรู้ว่าทักษะใดที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม
การเข้าใจทักษะเริ่มต้นของตัวเองจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการพัฒนาทักษะเป็นโปรแกรมเมอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จเริ่มจากเข้าใจตัวเอง
สรุป
ทั้งหมดนี้ คือ เคล็ดลับที่จะช่วยให้เปลี่ยนสายงานเป็นโปรแกรมเมอร์ได้สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าใจทักษะเริ่มต้นที่เรามี เพราะ “จุดเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จเริ่มจากเข้าใจตัวเอง” ดังนั้น หากคุณต้องการเข้าใจทักษะเริ่มต้นของตัวเอง สามารถ ทดสอบความพร้อมกับ The Ladder ซึ่งจะช่วยให้คุณ
- เข้าใจ ทักษะปัจจุบัน
- ประเมินโอกาส ในการเปลี่ยนสายงาน
- วางแผนพัฒนา ทักษะที่จำเป็นสำหรับคุณ
หากคุณต้องการเปลี่ยนสายงานเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่มีเวลาจำกัด The Ladder สามารถช่วยได้ ผ่านแนวทางการพัฒนาทักษะที่ช่วยให้เป็นโปรแกรมเมอร์ได้เร็วขึ้นถึง 70% อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
แนวทางและหลักสูตรการพัฒนาทักษะเพื่อการได้งาน